รัฐบาลสร้างกระแสใหม่ G-Token
หลังเลื่อนแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ในเฟส 3-4
เหตุต้องใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ "เร่งด่วน"
หลายฝ่ายระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยก้าลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต ตลาด ร้านค้า แผงลอย เงียบเหงา บ้างทยอยปิดกิจการ กิจกรรมส่งเสริมการขายที่ภาคธุรกิจจัดขึ้น ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากคลาดเท่าที่ควร แม้แต่โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยการแจกเงิน คนละ 1 หมื่นบาทผ่านไปแล้ว 2 เฟส หมดเงินประมาณ 175,000 ล้านบาท ก็ไม่สามารถสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้ ตามที่คาดหวัง
ถ้าตัดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองต่างๆออกไปปัญหาที่หนักอกของรัฐบาลมากที่สุดในเวลานี้ คือปัญหาเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มทรุดตัวลงอย่างรวด เร็วเป็นเหตุให้รัฐบาลใกล้จะถังแตก จำต้องเลื่อนการแจกเงินดิจิทัล คนละ 1 หมื่นบาท ในเฟส 3 (ผู้มีอายุ 16-20 ปี) และเฟส 4 (ผู้มีอายุ 21-60 ปี) ออกไปโดยไม่มีกำหนด
"สภาพัฒน์" ส่งสัญญาณเดือนเศรษฐกิจไทยชะลอตัว
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงว่า ตัวเลชผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ขยายตัว 3.1 % เมื่อเทียบกับการขยายตัว 3.3%ในไตรมาส 4 ของปี2567 เท่ากับว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัว 0.7% ซึ่งเป็นตัวเลข GDP ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศขึ้นภาษีศุลกากรเมื่อตันเตือนเมษายน 2568 ทำให้ผู้ผลิตเร่งการส่งออกเพิ่มขึ้น เพราะผู้นำเข้าในสหรัฐรีบสั่งสินค้าเข้าไปในประเทศ เพื่อหลบเลี่ยงอัตราภาษีที่จะขึ้นในอนาคต
"คาดว่าในช่วงถัดไปสถานการณ์เศรษฐกิจไทยจะผันผวนและอาจชะลอตัวลงได้ ทั้งการค้า การลงทุนและอัตราแลกเปลี่ยน ทุกฝ่ายจึงต้องมีการเตรียมตัวทั้งในส่วนของภาคประชาชน และภาคธุรกิจ ขณะที่รัฐบาลก็จะมีการออกมาตรการต่างๆ ออกมา เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจ และแรงงานที่ได้รับผลกระทบ"
รัฐบาลแจงเหตุเลื่อนการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ออกมาบอกถึงสาเหตุที่ต้องเลื่อนการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างไม่มีกำหนด เพราะ
ที่ประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนโครงการที่เสนอใช้งบกลางปี 2568 วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท โดยรัฐจะนำเงินส่วนนี้ไปกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อผลักดันโครงการบริหารจัดการน้ำ, โครงการระบบคมนาคมขนส่ง, สนับสนุนการท่องเที่ยว, มาตรการด้านการศึกษาของเยาวชน ตลอดจน ทบทวนโครงการขอรับจัดสรรงบประมาณภายใต้โครงการกองทุนหมู่บ้าน หรือ SML ควบคู่กับการสนับสนุนให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ หรือซอฟท์โลนเพื่อประคองการจ้างงานของภาคการผลิต เอสเอ็มอี ในห่วงโซ่การผลิต คาดว่าจะช่วยประคองจีดีพี ขยายตัวไม่น้อยกว่า ร้อยละ 0.7-1
นอกจากนี้ รัฐบาลจะใช้กลไกในสภาฯ และคณะกรรมาธิการ เพื่อท บทวนกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 และ 2570 เพื่อผลักดันโครงการปรับปรุงภาคการผลิต ระบบโลจิสติกส์ และโครงการบริหารจัดการน้ำระยะยาว โดยยังไม่มีแผนจะกู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาท เพราะเป็นเพียงการคาดการณ์ถึงเม็ดเงินที่จำเป็นจะต้องอัดฉีดเข้าระบบเศรษฐกิจเพื่อรับมือการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เท่านั้น
รัฐบาลโผล่ G-Token หาเงินอุดงบประมาณปี 2568
ข่าวที่สร้างเซอร์ไพรส์ ที่โผล่ขึ้นมาในเวลานี้ คือการที่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การกำหนด
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการออกโทเคนดิจิทัล พ.ศ. 2568 โดยให้กระทรวงการคลังออก โทเคนดิจิทัลของรัฐบาล ที่เรียกว่า GToken (Government Token) วงเงินเริ่มต้น 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือใหม่ในการหาเงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2568
G-Token เป็นเครื่องมือทางการเงินในระบบดิจิทัล โดยใช้เทคโนโลยี "บล็อกเขน" การที่รัฐบาลจะนำมาใช้กู้เงินจากประชาชน เช่นเดียวกับการขายพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล ก็จะทำประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลก ที่นำวิธีนี้มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ เพราะปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลก ที่นำโทเคนดิจิทัลมาใช้ระดมทุน ส่วนใหญ่ทำในระดับ Pilot Project เท่านั้น
มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า G-Token อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 เพราะตราสารหนี้ภาครัฐในรูปแบบดิจิทัล คล้ายพันธบัตรออมทรัพย์ โดยให้สิทธิแก่ผู้ถือในการได้รับเงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยตามเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังกำหนด และ G-Tokenไม่ใช่เงินดิจิทัล จึงไม่สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย แต่เป็นเครื่องมือที่รัฐบาลใช้ในการระดมทุนจากประชาชน เพื่อนำเงินไปใช้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณประจำปี 2568 โดยในปีนี้ สบน.จะทำการออก G-Token ในระยะทดลองก่อน โดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการหาเม็ดเงินเพิ่ม เพื่อทำโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ 1 หมื่นบาท หรือดิจิทัล
วอลเล็ตของรัฐบาล
"ธีระชัย" ทักท้วงกฎหมายที่มีอยู่ครอบคลุมหรือไม่ ?
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคหลังประชารัฐ (ทปชร.) และอดีต รมว.คลัง ทำหนังสือเปิดผนึกถึง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อขอให้พิจารณาวิธีการกู้เงินโดย G-Token อย่างรอบครอบ ในด้านของกฎหมาย เพราะกลัวว่าจะเป็นตัวอย่างสำหรับการปฏิบัติที่จะก่อความเสี่ยงต่อฐานะการคลัง และการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต ด้วยเห็นว่า พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ไม่ได้รองรับโทเคนดิจิทัล ถึงแม้มาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.การบริหารหนี้สารณะ พ.ศ. 2548 ระบุว่า "การกู้เงินตามพระราชบัญญัตินี้ จะทำเป็นสัญญาหรือออกตราสารหนี้ หรือวิธีการอื่นใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ" แต่คำว่า "วิธีการอื่นใด" ไม่สามารถตีความรวมไปถึงโทเคนดิจิทัลได้เพราะ 20 ปีก่อนหน้าใน พ.ศ. 2548 ยังไม่ได้มีการสร้างบิตคอยน์เกิดขึ้น ยังไม่มีธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
นอกจากนี้ ในร่างพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ที่บัญญัติคำว่า"โทเคนดิจิทัล" นั้น เกิดขึ้น 13 ปีภายหลัง และได้ระบุ
หลักการและเหตุผลว่า ตราขึ้นเพื่อกำกับหรือควบคุมการนำคริปโทเคอร์เรนซี และโทเคนดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนและค้าขายระหว่างเอกชนจึงมีความเห็นว่ายังไม่มีกฎหมายใด ที่อาจตีความได้ว่าให้อำนาจกระทรวงการคลังในการออกโทเคนดิจิทัลได้ตามกฎหมายที่มีอยู่
ถึงแม้กระทรวงการคลังแถลงข่าวว่า สิ่งที่ออก G-Token เป็นโทเคนดิจิทัล และมิได้หมายจะให้เป็นเงินตรานั้น แต่พฤติกรรมการใช้งานโดยประชาชน
จะทำให้G-Token กลายสภาพเป็น "คริปโทเคอร์เรนชี" ซึ่งเป็นเงินตราโดยอัตโนมัติ เพราะ ผู้ออกเป็นกระทรวงการคลัง และแม้กระทรวงการคลัง มีได้มีความประสงค์ที่จะให้ประชาชนใช้ G-Token เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าบริการหรือสิทธิอื่นใดในทำนองคริปโทเคอร์เรนชี แต่ในทางปฏิบัติ ประชาชนจะเชื่อถือและยอมรับการใช้ G-Token ในการชำระหนี้ระหว่างกัน อันจะทำให้มีสภาพข้อเท็จจริง เป็นเงินตราอย่างหนึ่งโดยอัตโนมัติ
"จึงเห็นว่าการออก G-Token จะกระทบการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเสมือนว่า รัฐบาลไทยสามารถพิมพ์เงินตราได้เอง เพื่อชดเชยรายจ่ายงบประมาณที่ขาดดุล ซึ่งจะก่อความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบการเงินไทยในสายตาของชาวโลกอย่างหนัก" อดีต รมว.คลัง กล่าว
ธปท.แนะควรทำเป็นโครงการทดสอบในวงจำกัด
สอดคล้องกับความเห็นของ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ได้ทำหนังสือถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 68 ก่อนที่ ครม.จะอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอวิธีการกู้เงินของภาครัฐด้วยการออก G-Token เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 68 ที่ผ่านมา โดยระบุว่า รัฐบาลควรทำเป็นโครงการทดสอบในวงจำกัด (Pllot Project) ก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าการนำเทคโลยีใหม่มาใช้กับระบบ และเกี่ยวข้องกับการระดมทุนของรัฐบาล เริ่มตั้งแต่การออกเสนอขาย จนสิ้นสุดที่การไถ่ถอนนั้น มีประสิทธิภาพและปลอดภัย รวมถึงประเมินความเสี่ยงได้อย่างรอบด้าน และปิดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรัดกุม ก่อนที่รัฐบาลจะนำไปใช้ระดมทุนจากประชาชนในวงกว้าง
/
นอกจากนี้ การออกโทเคนดิจิทัล ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการระดมทุนที่รัฐบาลอาจนำมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกรรมให้สะดวกรวดเร็ว และมีต้นทนที่ต่ำลง รวมถึงเป็นทางเลือกในการลงทุนและการออมของประชาชน โดยเทียบได้กับการออกพันธบัตรรัฐบาล ดังนั้น การออก
G-Token จำเป็นจะต้องมีระบบและกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย รัดกุม เป็นไปตามกรอบกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีการ
คุ้มครองประชาชนผู้ลงทุนเทียบเท่ากับพันธบัตรรัฐบาลในปัจจุบัน โดยต้องมืองค์ประกอบอย่างน้อย 5 ประการ
1. ระบบและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ G-Tokenต้องมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ผู้ให้บริการต่างๆ ที่จะเข้ามาร่วมกับรัฐบาลในการจัดการโทเคน
ดิจิทัล ต้องมีความน่าเชื่อถือ มีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญเพื่อใม่ให้เกิดปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง
2. การออก G-Token มีความสำคัญเทียบเท่าตราสารหนี้ภาครัฐ ปัจจุบันรัฐบาลอยู่ระหว่างแก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
พ.ศ.25335ให้รองรับกับการออกและการกำกับดูแลหลักทรัพย์ที่ออกโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
3. การระดมทุนด้วย G-Token ต้องเป็นไปตามกรอบวินัยการเงินการคลัง เช่นเดียวกับการกู้ยืมเงินของรัฐบาลผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาล โดยต้อง
อยู่ภายใต้กรอบวงเงินกู้ เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณรายจ่ายประจำปี และแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการบริหาร
หนี้สาธารณะ
4. การบริหารจัดการ G-Token ต้องไม่มีขั้นตอนใดที่เป็นการสร้างเงิน ซึ่งจะขัดต่อ พ.ร.บ.เงินตรา พ.ศ. 2501 ที่ห้ามไม่ให้ผู้ใดสร้างวัตถุหรือเครื่องหมายแทนเงินตรา เช่น หากมีการจ่ายผลตอบแทนของ G-Token ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของโทเคนดิจิทัลใดๆ รัฐบาลจะต้องเตรียมเงินเต็มจำนวน เพื่อรองรับการจ่ายเงินต้นหรือดอกเบี้ยให้กับผู้ถือ
5. การออก G-Token ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการระดมทุน และการออมของประชาชนเท่านั้นต้องไม่นำ G-Token มาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระเงิน (Means of Payment: MOP) โดยต้องมีกลไกติดตามเพื่อไม่ให้ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ด้วย "การออก G-Token รัฐบาลควรทำเป็น Pilot Project ก่อน เพื่อให้มั่นใจในเทคโนโลยีใหม่ที่เอามาใช้กับระบบ และกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการระดมทุนของรัฐบาล ตั้งแต่การเสนอขาย จนสิ้นสุดที่การไถ่ถอนว่า มีประสิทธิภาพและปลอดภัยรัดกุม อย่างรอบด้าน ก่อนจะนำไปใช้ระดมทุนจากประชาชนในวงกว้าง" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว