ปากเสียงของคนท้องถิ่น เพื่อการพัฒนาประเทศ
ธรรมาภิบาล ย้อนกลับ
ศาลฯยกคำร้องบิ๊กโจ๊กคดีนายกฯย้ายนั่งตบยุง
21 ส.ค. 2564

ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กรณีหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีคำสั่งโอนย้าย พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ จากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเห็นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเมื่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี และปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนคำสั่งโอนย้าย นายกรัฐมนตรี และปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้พิจารณาดำเนินการสั่งให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ราชการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นเดิม

โดยศาลปกครองกลางเห็นว่าตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) เป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง ซึ่งงานในหน้าที่ราชการของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เมื่อครั้งขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีลักษณะงานเทียบเท่าผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง แต่งานในหน้าที่ราชการของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขณะดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) มีเพียงเล็กน้อย ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เมื่อเทียบกับผู้ดำรงตำแหน่งอธิบดี หรือตำแหน่งรองปลัดกระทรวง ตลอดจนในขณะที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ปฏิบัติหน้าที่ในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการปฏิรูปราชการแผ่นดินแล้วกำหนดตำแหน่งหน้าที่อื่นให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ปฏิบัติหน้าที่ราชการแต่อย่างใด อีกทั้งขณะที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ รับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือในขณะที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่ได้อยู่ระหว่างการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรืออยู่ในระหว่างดำเนินการทางวินัยของผู้บังคับบัญชา จึงเห็นว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะดำรงตำแหน่งในกรอบอัตรากำลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ตามข้อ 1 วรรคห้า ของบัญชีท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 ก.ค.62

การที่ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี มีหนังสือลงวันที่ 26 ส.ค.63 เสนอเรื่องที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขอโอนกลับไปปฏิบัติงานที่หน่วยงานเดิมให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา และในระหว่างพิจารณาคดีของศาล ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือลงวันที่ 1 ธ.ค.63 และหนังสือลงวันที่ 5 มี.ค.64 ถึงนายกรัฐมนตรีมีเนื้อหาใจความทำนองเดียวกันกับหนังสือ ลงวันที่ 26 ส.ค.63 เพื่อให้พิจารณาเรื่องที่ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขอกลับไปปฏิบัติงานในสังกัดเดิม กรณีจึงถือว่า ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเสนอความเห็นต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้พิจารณาเรื่องของผู้ฟ้องคดีแล้ว ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี จึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์

ส่วนกรณีของนายกรัฐมนตรีนั้น เมื่อได้รับหนังสือของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ลงวันที่ 20 ส.ค.63 แล้ว รวมทั้งได้รับความเห็นดังกล่าวของปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ตามกฎหมายจะต้องพิจารณาเรื่องของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ตามข้อ 1 วรรคห้า ของบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 ก.ค.62 แต่นายกรัฐมนตรีไม่ได้มีคำสั่งว่า พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ มีความจำเป็นหรือไม่มีความจำเป็นที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ในตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) จึงถือว่านายกรัฐมนตรี ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และเป็นการกระทำละเมิดต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ด้วย แต่ปรากฏว่า ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฯ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ได้มีหนังสือลงวันที่ 5 มี.ค.64 ถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้พิจารณาสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 5 มี.ค.64 เห็นชอบตามข้อเสนอของปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามข้อ 1 วรรคห้า ของบัญชีห้าท้ายคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 9/2562 ลงวันที่ 9 ก.ค.62 และต่อมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ได้โอนกลับไปรับราชการในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำแหน่งที่ปรึกษา (สบ 9) ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่าตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว เหตุแห่งการฟ้องคดีจึงหมดสิ้นไป ศาลไม่อาจกำหนดคำบังคับให้นายกรัฐมนตรีไปดำเนินการเพื่อมีคำสั่งให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กลับไปปฏิบัติงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานเดิมได้อีก ตามนัยมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (2) และ (3) พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

ส่วนนายกรัฐมนตรีละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการไม่พิจารณาคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2563 ลงวันที่ 9 เม.ย.62 ใหม่ตามหนังสือของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ลงวันที่ 20 ส.ค.63 และเป็นการกระทำละเมิดต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ อันเนื่องจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรหรือไม่นั้น เห็นว่า หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้อาศัยอำนาจตามข้อ 5 ของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 ลงวันที่ 15 พ.ค.58 ออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 2/2562 ลงวันที่ 9 เม.ย.62 ให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยู่ในบัญชีรายชื่อเพิ่มเติมตามข้อ 5 และให้ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ขาดจากตำแหน่งหน้าที่และอัตราเงินเดือนในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อโอนไปเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นักบริหารระดับสูง) ซึ่งคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 ลงวันที่ 15 พ.ค.58 เป็นคำสั่งที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวจึงมิใช่คำสั่งทางปกครองตามคำนิยามของมาตรา พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 นายกรัฐมนตรีจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาใหม่คำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตามนัยมาตรา 54 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 นายกรัฐมนตรีจึงไม่ได้ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควรในการพิจารณาใหม่ตามหนังสือของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ ลงวันที่ 20 ส.ค.64 และไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์

 

หนังสือพิมพ์ OPT NEWS ONLINE
วันที่ 16 - 31 มีนาคม 2567
อปท.เชิญเป็นแขก ดูทั้งหมด
27 ธ.ค. 2566
แพทย์ พยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์ เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น ไม่เพียงต้องดูแลรักษาผู้ป่วยตามหลักการทางการแพทย์เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจและเข้าถึงจิตใจของผู้ป่วยอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น ผู้ที่จะทำงานอาชีพนี้ ต้องมีหัวใจและอุดมการณ์ที่มีความเสียส...